วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554

> สุนัขล่าเนื้อ

 * * สุนัขล่าเนื้อ * * 

มีนายพราน เลี้ยงสุนัข ไว้หลายตัว

หนึ่งดำมัว ตัวกล้าหาญ และแข็งแกร่ง

เตะต่อยแรง ดุดันยิ่ง ดั่งแม่แรง

วิ่งนำแซง ชนะได้ ทั้งหมาป่า


หมาจิ้งจอก ยอมสยบ หลบหลีกให้

หนีไปไกล เจ้าดำมัว กลัวถูกล่า

มาวันหนึ่ง พรานพลัดตก อยู่ในป่า 

ม้าชะล่า เพราะตกใจ ต้องยกขา


พรานเจ็บเมื่อย ขยับตัว ปวดแปลบล้า

สุนัขล่า อยู่คอยเฝ้า รอใครมา

นั่งดูแล ความปลอดภัย อยู่ในป่า

จนเวลา ผู้มาพบ ช่วยเหลือพราน


ผ่านหลายปี เจ้าดำมัว แก่ชรา

ตามเวลา อายุไข ตามสังขาน

มาวันหนึ่ง ล่าหมูป่า ตามนายพราน

ไม่เหมือนวาน ความว่องไว ช่างหนาวเหน็บ


ถูกหมาป่า ดิ่งเข้าขวิด ด้วยเขี้ยวแหลม

เข้าทิ่มแทง เจ้าดำมัว จนบาดเจ็บ

ด้วยความกล้า ชาญฉลาด มีเขี้ยวเล็บ

แม้ตัวเจ็บ ก็ต่อสู้ ไม่ชนะ


กลับถึงบ้าน ถูกไล่ตี ด้วยเรียวไม้

พรานขับไล่ ออกจากบ้าน เสียงเอะอะ

เพราะความโกรธ ที่ไม่อาจ มีมานะ

ทั้งแก่ละ ความปราดเปรียว จึงไล่ตี


สุนัขแก่ มานั่งมอง ย้อนกลับไป

นึกหวั่นไหว น้อยใจนัก ในยามนี้

ถูกนายพราน ขับไล่หนี ไม่ปรานี

หากความดี ที่มีนั้น หาบวับไกล


เจ้ามัวดำ นึกรำพึง ด้วยน้อยใจ

ว่าทำไม นายพรานนั้น มองอย่างไร

แค่ภายนอก ก็ตัดสิน มิห่วงใย

ข้าอยากให้ ท่านนึกถึง อดีตมา


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า  

" ควรนึกถึง คุณความดี ที่ผ่านมา

อย่าร้างลา ละทิ้งขว้าง ผู้มีคุณ

อีกทั้งยัง เห็นค่าเขา ที่ค้ำจุน

คอยอุดหนุน เฝ้าคอยห่วง ตัวของเรา "


ประพันธ์โดย : ซ่อนกลิ่น ซ่าหรี

วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

> วันแสนสุข...ของปูม้า

oknation.net
วันแสนสุข...ของปูม้า

..........เช้าวันหนึ่งอากาศสดใส ริมชายหาดขาว
ของวันที่ผู้คนพากันมาเที่ยวกัน เพื่อพักผ่อน
ในวันหยุดสุดสัปดาห์ เด็กคนหนึ่งชื่อปูม้า
เดินลัดเลาะตามชายหาด เที่ยวเก็บซากหอย 
ากปูมาเรื่อยๆ จนลืมเวลาทานอาหารเช้า 
ระหว่างทางปูม้าได้มองเห็นปูสองตัวไต่ขึ้น
ตามน้ำมา จึงรีบเดินเข้าไปหาก้มลงมอง
อย่างสนใจ

..........ปูม้า นึกในใจว่าปูสองตัวแม่ลูกคู่นี้ ช่างน่ารัก
น่าอิจฉาเสียจริงๆ ดูมีความสุข  คงไปไหนมาไหน
ด้วยกันสองตัวแม่ลูก ปูม้านึกและยิ้มอย่างมีความสุข
ระคนสงสัยไปด้วยว่า ปูแม่ลูกจะพากันไปไหนกันนะ!

..........จากนั้นก็ค่อยเดินตามปูสองตัวแม่ลูกไป จนน้ำ
ทะเลพัดพาสองแม่ลูกลงน้ำหายวับไปกับตา หายไป
โดยที่ปูม้าไม่รู้ว่าแม่ลูกสองตัวนั้นจะตายหรือรอดชีวิต
จากเหตุการณ์ครั้งนี้

..........ท้องเริ่มร้องเพราะความหิว ปูม้ารีบหันหน้ากลับ
ไปที่พักทันที และในใจก็ขบคิดปัญหานี้ไปด้วยว่า
" แม่ปูกับลูกปูจะรอดชีวิตหรือเปล่า?"

เพื่อนๆ น้องๆ ลองคิดดูสิว่าจะรอดหรือเปล่าคะ

ประพันธ์โดย : ซ่าหรี

> The Crow And The Snake

The Crow And The Snake

..........A long time ago. a pair of crows lived in a forest.
Every year in spring. Mrs. Crow would lay her eggs.
But those eggs were always eaten by the snake who
lived in the hold under that tree.

..........Mr. ans Mrrs. Cow were very angry.
but they did not know what to do.
One day. Mrs. Cow said '' If we don't do 
anything we cannot have a warm family."

..........One day, the prince came with his 
soldiers to bathe in the waterfall.
The crow couple watched on the tree.
They saw him taking off his clothes and omaments
and put them on the bank of the river.

..........Suddenly, Mrs. Crow had an idea.
She asked Mr. Crow to help her pick up the prince's 
gold bracelets and dropped them inside the snake's hole.

..........When the prince got off the waterfall. he was
very angry when he found that his gold bracelets
had disappeared. He ordered his soldiers to search
for them. They found the snake sleeping on 
the gold bracelets.

..........The soldiers killed the snake and returned the
gold bracelets to the prince. Mrs. Crow smiled and
said "From now. we will have a perfect family."


**...No matter how big the problem is,
it can be solved with wise thinking.......**

By : Rinlaporn

วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2554

> นิทานคติ

นิทานคติ 

............นิทานคติ หมายถึง นิทานทที่เน้นการสั่งสอนโดยผู้เล่ามักจะเน้นแนวคิดที่ต้องการสอนไว้ในตอนท้ายเรื่อง นิทานคติของไทยส่วนใหญ่ได้อิทธิพลแนวคิดกฎแห่งกรรมจากพทธศาสนาจึงเน้นคติ " ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว " เช่นเรื่อง ทุกขโตทุกขถานัง กล่าวถึงเจ้าทุกขโตและทุกขถานัง สองคนพี่น้องที่เป็นลุกเศรษฐี เมื่อพ่อแม่ตายได้แบ่งสมบัติให้เท่าๆกัน พี่ชายแต่งงานก่อนจึงขอยืมเงินน้องชายไปจัดงานแต่งงาน เมื่อแต่งงานแล้วก็หลอกภรรยาว่าไม่มีพี่น้อง วันหนึ่งน้องชายไปเยี่ยม พี่ชายให้คนไล่ น้องชายจึงเดินทางท่องเที่ยวไป ไปพบตายายทำไร่ก็ขออาศัยอยู้ด้วย ช่วยตายายทำงาน ตายายมีงาช้างอยู่งาหนึ่ง มีผู้หญิงซ่อนอยู่ในงาช้าง ต่อมาก็ได้แต่งงานกับน้องชาย เมื่อน้องชายร่ำรวยขึ้นพี่ชายได้ข่าวก็อิจฉา จึงไปเยี่ยมเพราะอยากรู้ว่ารวยขึ้นมาได้อย่างไร เมื่อเห็นภรรยาน้องชายสวยเกิดความปรารถนาอยากได้มาเป็นภรรยาของตนจึงคิดกำจัดน้องชาย ได้ชวนไปค้าขายทางสำเภาด้วยกัน ต่างฝ่ายต่างเอาข้าวสารของตนไป ตอนออกเรือไปใหม่ๆ เอาข้าวสารน้องกินไปก่อนจนหมด จนกระทั้งมาถึงเกาะของฤๅษี น้องขอข้าวพี่กิน โดยแลกกับการถูกควักลูกตาจนกลายเป็นคนตาบอด พี่ชายเอาไปทิ้งบนเขา ต่อมาหายจากตาบอดเพราะพระฤๅษีช่วยชุบให้ รุ่งเช้า พี่ชายแล่นเรือกลับผ่านมาน้องชายกวักมือเรียก พี่ชายเห็นน้องชายดีมีแก้วแหวนเงินทองติดตัวมาก็บังเกิดความโลภ ขอให้น้องควักลูกตาแล้วปล่อยไว้ที่เกาะ สุนัข ๓ ตัวของพระฤๅษีมาพบเข้าถูกพี่ชายดุด่าหยาบคาย จึงฟัดกัดจนตาย นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว


แหล่งข้อมูล : หนังสือเรียนภาษาไทยชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น,สุกัญญา ภัทราชัย
บันทึกโดย : ซ่อนกลิ่น ซ่าหรี (นามปากกา)

> เทวตำนาน

เทวตำนาน

........เทวตำนาน คือนิทานที่อธิบายกำเนิดของจักรวาล กำเนิดมนุษย์และสัตว์ โครงสร้างความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ ว่าอยู่กันในลักษณะใด มีความสัมพันธ์ต่อกันอย่างไร และมีกฎเกณฑ์อะไรที่ควบคุมกลุ่มของตน นิทานรูปแบบนี้มักจะกล่าวถึงผลของการละเมิดกฎเกณฑ์ซึ่งก่ให้เกิดโทษต่อกลุ่ม ตัวอย่างเช่น เรื่อง พระมนูกับน้ำท่วมโลก ซึ่งเป็นนิทานที่รับมาจากอินเดีย มีกฎเกณฑ์ในเรื่องว่ามนุษย์ควรประพฤติแต่ในทางที่ดีงาม ในนิทานมนุษย์ไม่ได้ประพฤติดี 
 ดังนั้น เทวดาจึงลงโทษให้เกิดฝนตกใหญ่ น้ำท่วมผู้คนจมน้ำตายหมด ยกเว้นพระมนูซึ่งไม่ได้ละเมิดกฎเกณฑ์นั้น หรือเทวตำนาน เรื่องแม่โพสพเทวีแห่งต้นน้ำ ซึ่งเป็นนิทานอธิบายพิธีกรรมทำขวัญข้าวของชาวไทยทุกท้องถิ่น ก็มีกฎเกณฑ์ในเรื่องว่า มนุษย์ควรระลึกถึงบุญคุณของข้าว ปฎิบัติต่อข้าวอย่างถนุถนอม เรื่องกล่าวว่า แม่ม่ายละเมิดกฎข้อนี้โดยใช้ไม้คานทุบข้าวเปลือกหลุด ทำให้แม่โภสพตกใจกลัว หนีหายไป ผลก็คือเกิดความอดอยากขึ้นในโลก ชาวบ้านเดือดร้อนไปทั่วจึงต้องจัดพิธีบูชาและทำขวัญแม่โพสพ เชื้อเชิญแม่โพสพให้กลับมา ข้อน่าสังเกตของรูปแบบก็คือ เทวตำนานจะต้องสัมพันธ์กับลัทธิความเชื่อของศาสนาเสมอ เช่น นิทานเรื่องของพระนารายณ์ พระอิศวร มาจากความเชื่อในศาสนาฮินดู นิทานเรื่องแถนสร้างโลกมาจากความเชื่อดั้งเดิมของชาวไทยก่อนเปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนา 

แหล่งข้อมูล : หนังสือ เรียนภาษาไทยนิทานพื้นบ้าน,สุกัญญา ภัทราชัย
บันทึกโดย : ซ่อนกลิ่น ซ่าหรี (นามปากกา)



> นิทานศาสนา

 นิทานศาสนา

.............นิทานศาสนา หมายถึง เรื่องเล่าที่เกี่ยวกับศาสนาที่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง นิทานศาสนาจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์และบุคคลสำคัญในศาสนาสมัยพุทธกาล เช่น องคุลีมาล นางวิสาขา เป็นต้น 
.............นิทานเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ที่พบบ่อยๆ ในประเทศไทยมักจะเป็นเรื่องเล่าทำนองพระพุทธเจ้าเสด็จไปมายังที่ต่างๆ ต่อมาคือสถานที่สำคัญทางศาสนา เช่น สถานที่ตั้งพระธาตุหรือรอยพระพุทธบาท ตัวอย่าง นิทานเล่าที่มาของพระธาตุดอยตุง จังหวัดเชียงราย  กล่าวว่า ย้อนหลังในสมัยพุทธกาลเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมาอยู่ที่เขาคิชฌกูฎ แล้วถูกพระเทวทัตแกล้งกลิ้งก้อนหินใหญ่ไปถูกพระบาทเลือดออก หลังจากที่รักษาพระบาทจนหายแล้ว ก็เสด็จมายังเมืองต่าง ๆ ริมแม่น้ำโขง เมื่อมาถึงเมืองเชียงแสน พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นดอย ๓ ลูกอยู่ทางทิศตะวันตก พระองค์พร้อมด้วยพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ เหาะไปยังดอยที่สูงที่สุด พระองค์ทรงหยุดกึกบนก้อนหินก้อนหนึ่งแล้วหันพระพักตร์ไปยังทิศตะวันออกมองดูบ้านเมืองบริเวณนั้น ทรงทำนายว่าที่นั่นจะเป็นที่ตั้งของพระพุทธศาสนาไปจนตลอด ๕๐๐๐ ปี ทรงมีพระบัญชาว่า เมื่อพระองค์ปรินพพานไปแล้ว จะมอบกระดูกด้ามมีดขวาไว้ ณ ที่แห่งนี้ เพื่อให้สาธุชนได้กราบไว้บูชา กาลต่อมาเมื่อทรงดับขันธ์ไป พระมหากัสสปเถระก็ได้นำพระธาตุดังกล่าวมายังยอดดอยนั้น โดยเอาพระโกศบรรจุพระธาตุตั้งไว้เหนือก้อนหิน ซึ่งพระพุทธเจ้าเคยหยุดยืน ณ บริเวณนั้นแล้วอธิฐานให้พระโกศธาตุจมลงไปในก้อนหิน พระมหากัสสปเถระได้อธิฐานอีกครั้งหนึ่งให้บังเกิดตุง (ธง)ทิพย์ยาว ๗๐๐๐ วา กว้าง ๕๐๐ วา มีรัศมีงดงาม กางบูชาพระธาตุอยู่ที่ดอยทางทิศตะวันออก ฝูงชนขึงขนานนามดอยนี้ว่า ดอยตุง มาตั้งแต่นั้น
.............จากนิทานเรื่องนี้จะเห็นได้ว่า นอกจากจะเป็นนิทานศาสนาแล้วยังเกี่ยวพันกับสถานที่ในท้องถิ่น จึงมีลักษณะเป็นนิทานท้องถิ่นด้วย


แหล่งข้อมูล : หนังสือ เรียนภาษาไทยนิทานพื้นบ้าน,สุกัญญา ภัทราชัย
บันทึกโดย : ซ่อนกลิ่น ซ่าหรี (นามปากกา)

วันอังคารที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2554

> กากับนกนางเเอ่น

กากับนกนางเเอ่น

" เจ้าว่าขนของข้ากับขนของเจ้า
ใครจะงามกว่ากัน " 

กามองขนของตนเเล้วตอบว่า
" ข้าว่าขนของข้าก็สวยดีนะ " 


นกนางเเอ่นขยับปีกพลางว่า
" เเต่เจ้าดูสิ ขอนของข้าดูสวยเป็นพิเศษในฤดูร้อน อย่างนี้ "


กาจึงกล่าวว่า
" ก็จริงนะ เเต่ขนของข้างามทุกฤดู ไม่ว่าฤดูใดมันก็
จะดำเช่นนี้" 

 นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
 
 

ความงามที่คงทนยั่งยืน ย่อมเป็นความงามที่เเท้จริง